1812 โอเวอร์เชอร์: การรำลึกถึงวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ (1812 Overture: A Grand Commemoration)

 

บทความโดย ผศ.นรเศรษฐ์ อุดาการ 

Asst.Prof. Norrasate Udakarn

The College of Music, Payap University

 

ปี 1812 เป็นปีที่โลกได้จารึกเหตุการณ์สำคัญเอาไว้มากมายหลายเหตุการณ์ ทั้ง ‘The War of 1812’ ซึ่งเป็นความขัดแย้งรวมระยะเวลากว่าสองปีครึ่ง ระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์

 

เป็นปีเกิดของชาร์ล ดิกเกนส์ (Charles Dickens, 1812-1870) นักประพันธ์ชาวอังกฤษผู้สร้างสรรค์ผลงานวรรณกรรมชื่อดังทั้ง โอลิเวอร์ ทวิสต์, นิโคลาส นิคเกิลบีและเรื่องของสองนคร (A Tales of Two Cities)

 

รวมถึงเป็นปีที่เกิด ‘ยุทธการแห่งโบโรดีโน’ (Battle of Borodino) หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สร้างแรงบันดาลใจจนทำให้ ปีเตอร์ อิลิช ไชคอฟสกี (Pyotr Ilyich Tchaikovsky, 1840 – 1893) นักประพันธ์ชาวรัสเซียยิบยกมาแต่งเป็นบทเพลง ซึ่งได้กลายเป็นบทเพลงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเพลงหนึ่งในวงการดนตรีคลาสสิก ซึ่งบทเพลงนั้นคือ ‘1812 โอเวอร์เชอร์’ (1812 Overture)

 

1812 Overture ผลงานการประพันธ์ลำดับที่ 49 ของไชคอฟสกี นักประพันธ์ยุคโรแมนติกชาวรัสเซีย ผู้มีชื่อเสียงอย่างมากจากผลงานประเภทซิมโฟนี (Symphony) และ บัลเล่ต์ (Ballet) แต่กลับเลือกที่จะสร้างสรรค์บทเพลงโหมโรง หรือ โอเวอร์เชอร์ ซึ่งมีความแตกต่างจากผลงานชิ้นอื่นของเขาในสมัยนั้น

 

โดยในบทเพลงนี้มีการนำเครื่องดนตรีพิเศษมาใช้ในการบรรเลงสนับสนุน คือ ‘คาริยอน’ หรือ ‘คาริยง’ (Carillon) ในภาษาฝรั่งเศสซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่เป็นชุดระฆังชนิดหนึ่งที่ถูกจัดอยู่ในตระกูลเครื่องกระทบและคีย์บอร์ด อีกทั้งยังมีการเขียนแนวบรรเลงสนับสนุนของปืนใหญ่ (Cannon)

 

ใช่ครับ . . . คุณไม่ได้อ่านผิด ปืนใหญ่จริง ๆ เข้ามาเพื่อช่วยในการบรรเลงให้มีความสมจริงและมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์ในการถ่ายทอดอารมณ์และเรื่องราวภูมิหลังของบทเพลงที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับชัยชนะของกองทัพรัสเซียใน ‘ยุทธการโบโรดิโน’ (Battle of Borodino, 1812)

ใครเล่าจะเชื่อว่าดนตรีสามารถเล่าเรื่องราวได้ ในโลกของดนตรีคลาสสิกมีคำว่า ‘ดนตรีพรรณนา’ (Program Music) หรือดนตรีเล่าเรื่องราว ที่เปรียบเหมือนผลแอปเปิ้ลที่กำลังสุกหลังจากผ่านการบ่มเพาะมาอย่างยาวนานเป็นผลสมบูรณ์ของดนตรียุคคลาสสิกที่ส่งต่อมายังยุคโรแมนติก

 

เหมือนโมสาร์ทได้ส่งไม้ต่อให้เบโธเฟนและตกมาถึงไชคอฟสกี ซึ่งไชคอฟสกีก็ได้นำมาใช้ในการถ่ายทอดเพื่อรำลึกถึงชัยชนะของกองทัพรัสเซียได้อย่างยิ่งใหญ่ บทเพลง 1812 Overture หรือในชื่อเต็มคือบทเพลง ‘The Year 1812 Solemn Overture’

 

1812 Overture เป็นผลงานการประพันธ์ชนิดดนตรีพรรณนาถูกนำออกแสดงครั้งแรกที่มหาวิหารคริสต์แห่งซาเวียร์ (The Cathedral of Christ the Savior) เมื่อเดือนสิงหาคม 1882 และจากที่กล่าวไว้ในข้างต้นบทเพลงนี้มีความสอดคล้องกับสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับจักรวรรดิบริเตนใหญ่ช่วงปี 1812-1815 อีกด้วย

 

‘โอ พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงปกป้องประชาชนของพระองค์’ หรือ ‘Spasi, Gospodi, lyudi Tvya’ เสียงบทเพลงสวดรัสเซียนออร์ทอดอกซ์ ซึ่งแทนที่ด้วยการบรรเลงของกลุ่มเครื่องสายบรรเลง ดังขึ้นเป็นการเริ่มต้นการเล่าเรื่องของบทเพลงนี้

 

สภาพบ้านเรือนในชนบทและผู้คนต่างออกมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุข ตามด้วยท่วงทำนองของเพลง ‘U vorot’ บทเพลงพื้นบ้านของชาวรัสเซียที่ไชคอฟสกีนำมาเรียบเรียงและดัดแปลงเข้ากับบทเพลงเพื่อสื่อถึงภาพบรรยากาศการดำเนินชีวิตของชาวรัสเซียในยอมสงบ

 

บ่งบอกชัดเจนถึงความเป็นรัสเซีย ประเทศซึ่งมีความเรียบง่ายแต่ซ้อนไว้ถึงความลึกลับและน่าค้นหาพร้อมกลิ่นอายของคริสต์ศาสนานิกายออร์ทออกซ์

 

ทันใดนั้น . . . เสียงปืนใหญ่ก็ดังขึ้น บทเพลงเร่งเร้าผู้ฟังมากขึ้นด้วยจังหวะและท่วงทำนองที่สับสน วุ่นวายของกลุ่มเรื่องสายและเครื่องลมไม้ เพื่อเป็นการป่าวประกาศในทราบถึงภัยรุกรานที่กำลังจะมาถึง

 

บทเพลงเร้าอารมณ์มากขึ้นจนไปสู่จุดคลายแม็กของท่อนด้วยการบรรเลงอันทรงพลังและหนักแน่นของกลุ่มเครื่องทองเหลือง ซึ่งนำไปสู่การส่งสัญญาณเตือนการเริ่มต้นของยุทธการแห่งโบโรดิโน

 

กองทัพของนโปเลียนมาถึงแล้ว!

 

‘La Marseillaise’ เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเพลงชาติของประเทศฝรั่งเศส

แต่ครั้งนี้ La Marseillaise มาปรากฏในฐานะการเป็นตัวแทนกองทัพฝรั่งเศสของนโปเลียน ซึ่งนอกจากบทเพลงนี้จะมีลักษณะเป็นดนตรีพรรณนาแล้ว ยังมีการใช้ Leitmotif หรือท่วงทำนองเฉพาะเพื่อแทนการสื่อความหมายถึงตัวละครในการเล่าเรื่องอีกด้วย

 

ทุกครั้งที่ไชคอฟสกีต้องการบรรยายถึงกองทัพฝรั่งเศส เสียงกลองสแนร์และเฟรนช์ฮอร์นจะบรรเลงท่วงทำนองของบทเพลง La Marseillaise ราวกับว่าผู้ฟังกำลังนั่งอยู่ท่ามกลางสมรภูมิ

 

เช่นเดียวกันในฝั่งของรัสเซีย ไชคอฟสกีก็ได้นำท่วงทำนองของบทเพลง ‘Bozhe, tsarya khrani’ หรือ ‘God, Save the Tsar’ มาเป็นตัวแทนสำหรับประชาชนและกองทัพรัสเซียอีกด้วย

 

ปืนใหญ่และชุดระฆังคาริยอนถูกนำมาร่วมบรรเลงเพื่อเป็นสัญลักษณ์และใช้เป็นตัวแทนของกองทัพทั้งสองฝ่าย ซึ่งเริ่มปรากฏในช่วงท่อนกลางของบทเพลงพร้อมกับท่วงทำนองของกองทัพฝรั่งเศส

 

แต่ความพิเศษของเครื่องดนตรีเสริมสองชิ้นนี้อยู่ที่การบรรเลงของชุดระฆังคาริยอน ที่ไชคอฟสกีนำมาใช้ในท่อนสุดท้ายของบทเพลง

 

โดยเป็นการบรรเลงเพื่อสื่อถึง ‘ความสามัคคีและการร่วมแรงร่วมใจ’ ซึ่งแทนด้วยเหล่าเสียงของระฆังจากหอระฆังของโบสถ์ออร์ทอดอกซ์ทั่วประเทศ ที่ดังก้องกังวานพร้อมเสียงปืนใหญ่จากกองทัพรัสเซียกับการบรรเลงท่วงทำนองของเครื่องทองเหลือในบทเพลง ‘God, Save the Tsar’ เพื่อเป็นการโต้ตอบภัยรุกรานให้พ่ายแพ้ไปในที่สุด

 

ในปัจจุบัน บทเพลง 1812 นี้ยังคงมีความเชื่อมโยงกับการเฉลิมฉลองวันชาติของประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วยครับ

 

เนื่องจากความเป็นสังคมสมัยนิยม ‘Pop Culture’ ที่มีความชื่นชอบความรื่นเริง โดยเฉพาะในการเฉลิมฉลองวันชาติซึ่งเป็นวันที่มีความสำคัญที่สุดวันหนึ่งของสหรัฐฯ ที่จะมีการแสดงดนตรี มีการจุดดอกไม้ไฟ จึงมีการนำบทเพลง 1812 Overture ซึ่งเป็นบทเพลงคลาสสิกที่มีความยาวพอเหมาะและมีเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘Victory’ มาบรรเลงเพื่อเป็นดนตรีประกอบการจุดดอกไม้ไฟตามแบบฉบับอเมริกัน

 

ถึงขั้นคนเคยกล่าวไว้ว่า วันชาติก็จะมีแต่ ‘Hot dogs and Fireworks’

 

โดยการบรรเลงบทเพลง 1812 ในวันชาติของสหรัฐ เริ่มต้นในปี 1974 โดยวงบอสตัน ป๊อป ออร์เคสตรา ซึ่งแท้จริงแล้วการนำบทเพลงนี้มาบรรเลงนั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวพันธ์ใดกับ ‘The War of 1812’ ระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่เลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเพียงการสร้างเรื่องราวประกอบการบรรเลงดนตรีและที่สำคัญคือเพื่อการแสดงที่จะนำไปสู่การจุดดอกไม้ไฟนั้นเอง

 

The Pappyness