บทความโดย เสฏฐวุฒิ อุดาการ
Settawut Udakarn
Editor, The Pappyness
ปี 1849 ในช่วงวาระสุดท้ายของเฟรเดริก โชแปง คีตกวีชาวโปแลนด์ที่กล่าวกันว่าตะวันไม่เคยตกดินในดินแดนที่บทเพลงของเขาถูกบรรเลง ได้เกิดเรื่องแปลกประหลาดบางอย่างขึ้น
ร่างกายของโชแปงในวัย 39 ปี ทรุดโทรมลงอย่างหนักจากวัณโรคที่คุกคามเขามาชั่วชีวิต จนไม่สามารถสอนเปียโนซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักได้อีก ฐานะทางการเงินของคีตกวีเลื่องนามจึงดิ่งลงเหมือนอุณหภูมิในฤดูหนาวอันเยียบเย็นของนครปารีส
เคราะห์ดีที่อัจฉริยภาพของโชแปงได้ดึงดูดผู้คนจากหลากหลายวงการ ทั้งเชื้อพระวงศ์ ขุนนาง ชนชั้นกลาง และสามัญชน เข้ามาชื่นชมในเสียงดนตรีของเขา
ในจำนวนนี้รวมถึงเจ้าหญิง Natalia Obreskoff ซึ่งออกค่าเช่าอพาร์ทเมนท์ชั้น 2 ของวิลล่าหลังงามบนถนน 74 Rue de Chaillot ที่มองเห็นสถานที่สำคัญ ๆ ของปารีสอย่างมหาวิหาร Notredame สุสาน Invalides และสวน Tuileries ได้จากหน้าต่าง ให้โชแปงโดยไม่บอกให้เขารู้
แต่ในบรรดาผู้อุปถัมภ์ทั้งหมด ไม่มีแม่ยกผู้ใดใจป้ำมากกว่า Jane Stirling และน้องสาว Mrs.Erskine ที่ส่งเงินจำนวน 25,000 ฟรังก์ ฝากคนส่งพัสดุมาให้โชแปงโดยไม่ประสงค์ออกนาม
เงินจำนวนมหาศาลก้อนนี้ย่อมช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคีตกวีหนุ่มดีขึ้นไม่มากก็น้อย หากเขาได้รับและใช้มันไปกับการดูแลตนเอง
ปัญหามีอยู่ว่าโชแปงไม่ได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของเงินก้อนนี้เลย กระทั่ง Stirling มาเยี่ยมเยือนเขาที่ Chaillot แล้วพบว่านักเปียโนที่เธอชื่นชมตกอยู่ในสภาพซอมซ่อและยากจนเช่นเดิม
เงิน 25,000 ฟรังก์ก้อนนั้นหายไปไหน?
ด้วยความประหลาดใจและเคืองโกรธที่เงินจำนวนมหาศาลก้อนนั้นหายไป Stirling จึงเริ่มสืบสาวราวเรื่องถึงเหตุไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้น จนพบว่าพัสดุที่เธอส่งเงินมานั้นถูกรับไปโดยคนใกล้ชิดของโชแปง นั่นคือมาดามเอเตียน หญิงรับใช้ของเขานั่นเอง
เรื่องราวคงจะจบลงอย่างง่ายดาย หากมาดามเอเตียนสารภาพว่าเธอเป็นผู้รับเงินก้อนนั้นไป แต่หญิงรับใช้กลับปฏิเสธหัวชนฝาว่าเธอไม่รู้เห็นเกี่ยวกับพัสดุหรือเงินใด ๆ ทั้งสิ้น
จนปัญญา Stirling จึงเดินทางไปปรึกษาหนึ่งในบุคคลที่ฮอตที่สุดในบรรดาชนชั้นสูงชาวปาริเซียงสมัยนั้น นั่นคือ Alexis หมอดูชื่อดังนั่นเอง
แต่การจะล่วงรู้ถึงที่ซ่อนเงินที่มาดามเอเตียนกุมความลับไว้นั้น หมอดู Alexis กำชับว่าเขาจะต้องสัมผัสกับวัตถุที่เป็นของส่วนตัวของหญิงรับใช้ผู้นั้นเสียก่อน มันอาจจะเป็นเสื้อผ้าหรือเส้นผมก็ย่อมได้
ภาระนี้จึงตกเป็นของคีตกวีผู้น่าสงสารที่อยู่ใกล้ชิดนางมากที่สุด เขาพยายามหลอกล่อมาดามเอเตียนจนได้เส้นผมมาจำนวนหนึ่ง
เมื่อนั้นเองที่หมอดู Alexis ก็ได้พิสูจน์ให้โชแปงเห็นว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งที่น่าทึ่งกว่าซิมโฟนีของเบโธเฟนหรือเรควีเอ็มของโมสาร์ท
หมอดูบอกเขาว่าเงินจำนวน 25,000 ฟรังก์ถูกซ่อนไว้เป็นอย่างดีในกำแพงด้านหลังนาฬิกาข้างเตียงมาดามเอเตียน เงินในพัสดุยังอยู่ครบถ้วน เพราะมันถูกเก็บไว้เพื่อรอวันเวลาที่เหมาะสม อันหมายถึงวาระสุดท้ายของโชแปงนั่นเอง
เพื่อพิสูจน์เนตรทิพย์ของ Alexis คนส่งพัสดุคนเดิมจึงถูกส่งกลับไปที่ Chaillot อีกครั้งเพื่อเผชิญหน้ากับมาดามเอเตียน แต่กาลกลับตาลปัตรเมื่อเขาเกิดหลุดปากชี้ตำแหน่งได้อย่างแม่นยำโดยที่ไม่มีใครบอกคำทำนายของ Alexis ให้เขารู้
เงินยังถูกเก็บรักษาอยู่ในพัสดุเหมือนที่ Alexis บอกไว้ มาดามเอเตียนกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ และคนส่งพัสดุกลายเป็นจำเลยในเหตุการณ์อันสุดแสนประหลาดนี้ แต่เมื่อโชแปงสืบลึกลงไปอีก ก็พบว่าผู้อยู่เบื้องหลังตัวจริงคือ Mrs.Erskine ที่ต้องการเก็บเงินทั้งหมดไว้นั่นเอง
แม้ว่าโชแปงจะลังเลที่จะรับเงินก้อนจำนวนดังกล่าวไว้ แต่ในท้ายที่สุดเขาก็รับมาจำนวน 15,000 ฟรังก์ซึ่งช่วยต่อชีวิตเขาไปได้อีกหลายเดือน ก่อนมัจจุราชจะพรากวิญญาณคีตกวีผู้นี้ไปบรรเลงบทเพลงแห่งสรวงสรรค์ในวันที่ 17 ตุลาคม 1849 เวลา 2 นาฬิกา
ความยากลำบากในการดำรงชีวิตของนักดนตรีท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาด (ยุคนั้นคือวัณโรคและอหิวาตกโรค) ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่นักดนตรีระดับโชแปงสามารถอยู่รอดได้ด้วย ‘ผู้อุปถัมภ์’ ที่พร้อมจะสนับสนุนศิลปินที่พวกเขาชื่นชอบ
ยุคโควิด-19 ยังมีนักดนตรีและศิลปินจำนวนมากที่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรน บางคนอาจบอกว่านี่คือทางที่พวกเขาเลือกเอง แต่อาชีพเหล่านี้มิใช่หรือที่สร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับผู้คนตลอดมา
และไม่สมควรอย่างยิ่งที่พวกเขาจะถูกทอดทิ้งให้ต้องเผชิญหน้ากับความเหน็บหนาวตามลำพัง
ปล.ในวาระสุดท้ายของโชแปง มีแพทย์ที่เดินทางมารักษาวัณโรคให้เขาอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นคือ Dr. Jean-Baptiste Cruveilhier แพทย์เจ้าของไข้ Charles Maurice de Talleyrand-Périgord นักการทูตฝรั่งเศสผู้มีบทบาทสำคัญใน Congress of Vienna
.
อ้างอิง Fryderyk Chopin: A Life and Times by Alan Walker